คุณเป็นคนนั้นหรือเปล่า ที่เรียนภาษาอังกฤษมามากกว่า 5 ปี นั่งท่องจำแกรมม่า เรียนแกรมม่ามาหลายปี แต่ก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งสักที
หรือคุณยังไม่ได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษเลย หรืออยากพูดภาษาอังกฤษเก่ง
แต่ได้ยินมาเยอะว่า คุณควรจะเรียนแกรมม่า และท่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้แม่น ก่อนที่จะเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
เบญขอบอกคุณไว้เลยค่ะ ว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว คุณพูดภาษาอังกฤษเก่งได้แน่นอน แม้ว่าคุณจะจำแกรมม่าไม่ได้ หรือไม่รู้จักแกรมม่ามาก่อนเลยก็ตามค่ะ
ในโพสต์นี้เบญจะมาบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่จำเป็นต้องรู้จักแกรมม่าก่อนเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษนะคะ และก็จะมาบอกเคล็ดลับการพูดภาษาอังกฤษเก่งด้วยค่ะ
ถ้าพร้อมแล้ว อย่ารอช้าอยู่เลย ไปเริ่มการเดินทางเปลี่ยนการคิด และเริ่มพูดภาษาอังกฤษเก่งแบบไม่ต้องท่องแกรมม่า ไปพร้อม ๆ กันเลยจ้า…
ทำไมไม่ต้องเก่งแกรมม่าก่อนพูดได้
ก่อนอื่นเลย เรามาดูเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำไมบางคนเก่งแกรมม่า แต่ก็ยังพูดไม่ได้ หรือบางคนที่เรียนแกรมม่ามานาน แต่พูดจริง ๆ กับพูดผิดหมดเลย
มาดูกันค่ะ ว่าทำไม…
1. เก่งแกรมม่าแต่ไม่ได้ใช้ก็ลืม
หลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษนั้น เป็นเรื่องละเอียดยิบย่อย และก็มีเยอะมากค่ะ จนบางทีให้เจ้าของภาษามาพูดเรื่องนี้ เค้าก็ยังพูดไม่หมด หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
เพราะฉะนั้นต่อให้คุณเรียนมาทุกหลัก จำได้ทุกแบบ แต่ไม่ได้ใช้เลย รับลองว่าลืมแน่นอน
เพราะเบญเป็นค่ะ เรียนมาจากที่โรงเรียน แต่ไม่เคยได้ใช้พูดจริง ตอนนี้ก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว
2. เวลาพูดภาษาอังกฤษ เรานึกแกรมม่าไม่ออก
เคยเห็น หรือเคยเป็นแบบนี้มั้ยคะ ว่าเราท่องแกรมม่าได้ทุกบท แต่พอเวลามาพูดจริง ๆ เรากลับลืม และคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไม
นั่นก็เพราะว่าเราไม่เคยพูดเลย และมันเป็นสิ่งที่ต่อให้เรารู้วิธีใช้ แต่เราไม่ได้ใช้จริง ๆ เราก็จะนึกไม่ออกเวลาที่เราต้องพูดมันออกมาจริง ๆ
ทำให้สมองเราช้าเมื่อต้องรวมแกรมม่านั้นมาเป็นประโยคจริง ๆ
3. เข้าใจแกรมม่า แต่ใช้จริงไม่เป็น
จริง ๆ แล้วก็เป็นเพราะว่า เราไม่ชินกับการแต่งประโยคภาษาอังกฤษ
และนั่นเป็นสิ่งที่เราควรทำมากกว่าการนั่งจำแกรมม่าโดยที่ไม่รู้ว่าจะใส่มันเข้าไปในประโยคได้ยังไง ให้เวลาพูดมันออกมาเป็นธรรมชาติ
ฉะนั้นต่อให้รู้จักแกรมม่าดี เราอาจจะพูดเหมือนหุ่นยนห์ก็ได้ 🤖
ถ้าคุณเองก็เป็นเหมือนกับ 1 ใน 3 ข้อ ข้างบนนี้ ก็อย่าท้อนะคะ และอย่าคิดว่าคุณจะไม่มีวันพูดภาษาอังกฤษได้
เพราะว่าเบญได้เขียน 3 วิธี ที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษเก่ง โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องติวแกรมม่า หรือท่องจำแกรมม่าอีกต่อไป!!🥳
อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งต้องทำยังไง
ตามชื่อโพสต์เลยนะคะ เราจะมาดูกันว่า คุณจะพูดภาษาอังกฤษเก่งได้ยังไง โดยที่ไม่ต้องนั่งท่อง หรือนั่งจำหลักแกรมม่าภาษาอังกฤษเอง
เก่งในที่นี้ เบญหมายถึง พูด-ฟังกับเจ้าของภาษาได้ สนทนาภาษาอังกฤษได้จริงโดยที่ไม่ต้องคิดนาน หรืองงว่าต้องตอบกลับยังไง รวมถึงพูดถูกหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษด้วย
แต่เบญจะบอกไว้ก่อนว่า เบญไม่ได้แนะนำให้คุณไม่เรียน หรือไม่ทำความรู้จัก หรือไม่สนใจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษนะคะ
เพราะว่าถ้าจะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษาจริง ๆ คุณเองก็ต้องรู้หลักไวยากรณ์ด้วยค่ะ
แต่นี่เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ ที่จะมาช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษเก่ง โดยที่ไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการนั่งท่องหลักแกรมม่าหรือเสียเงินไปติวแค่แกรมม่า แต่ก็ยังพูดไม่ได้
ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูด้วยกันเลย!
1. โฟกัสที่การฝึกฟัง-พูดสนทนาภาษาอังกฤษ
วิธีง่าย ๆ ที่เราจะทำด้วยกัน ที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษเก่งก็คือการให้เวลา ทุน หรือความพยายาม ไปที่การฝึกฟัง-พูดบทสนทนามากกว่าการฝึกท่องแกรมม่าค่ะ
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด แต่เบญกำลังจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงให้ทำแบบนั้น
จากประสบการณ์ส่วนตัวของเบญเอง เบญไม่ได้เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะตัวเองรู้ หรือจำแกรมม่าได้
แต่เป็นเพราะเบญได้ฝึกพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันค่ะ
เพราะอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า พวกเราเรียนแกรมม่าภาษาอังกฤษมาหลายปีมากที่โรงเรียน แต่พอมาใช้จริง ๆ เราก็จำไม่ได้
หรือว่าถ้าจำได้ และพยายามพูดตาม มันจะฟังดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
และที่สำคัญก็คือบทสนทนาภาษาอังกฤษพวกนั้นเองก็เต็มไปด้วยแกรมม่าอยู่แล้วค่ะ อย่างเช่น ถ้าเราเรียนคำว่า I am going to Robinsons.
เราก็จะรู้ทันทีว่า อ๋อ ถ้าใช่ I เนี่ย ต้องตามมาด้วย am และถ้าเห็นสองคำนี้ ก็จะตามมาด้วยคำกริยาเติม ing นะ
เห็นมั้ยคะ แค่การฝึกพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ ก็ช่วยให้เราได้รู้แกรมม่าหลายข้อเลย
ทีนี้มาดูด้วยกันว่ามีวิธีไหนบ้าง ที่จะช่วยให้เราได้ฝึกฟัง-พูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ ที่จะช่วยให้เราได้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งมากขึ้น
รวบรวมบทสนทนา และฝึกพูดทุกวัน
ไม่ว่าจะบันทึกไว้บนมือถือ บันทึกไว้บทคอม หรือจดลงบนสมุดเหมือนกับเบญ ก็ทำได้เลย
หลังจากนั้นก็แค่เปิดในสิ่งที่เราเก็บไว้ และฝึกพูด 10-15 ประโยค
เบญได้รวบรวมบทสนทนาภาษาอังกฤษไว้เยอะเลย
- ประโยคภาษาอังกฤษทั่วไป
- ประโยคภาษาอังกฤษกันตาย
- ประโยคขอบคุณภาษาอังกฤษ
- ประโยคขอโทษภาษาอังกฤษ
- ประโยคทักทายภาษาอังกฤษ
- ประโยคแนะนำตัวภาษาอังกฤษ
- ประโยคท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ
- ประโยคภาษาอังกฤษในร้านอาหาร
- ประโยคภาษาอังกฤษไปเดทกับฝรั่ง
ฝึกพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษเดิมซ้ำ ๆ
แม้ว่าคุณจะบันทึกได้แค่ 50-100 ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษจากข้อที่แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลและกลัวว่ามันจะพอต่อการฝึกพูดในแต่ละวันนะคะ
เพราะว่าจริง ๆ แล้ว การฝึกพูดที่ดีที่สุด ก็คือการฝึกพูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และมันจะช่วยให้เราจำประโยคพวกนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องมานั่งจำทีละคำ
และมันจะช่วยให้เราจำได้ในตอนที่เราจะต้องพูดภาษาอังกฤษจริง ๆ กับฝรั่ง
ทำให้เราไม่ต้องกระอึกกระอัก หรือว่าคิดนานเกินไป ว่าจะต้องตอบว่าอะไร แต่จะออกมาแบบธรรมชาติ
ฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษจากสิ่งที่ทำประจำ
อันนี้เป็นอีกสิ่งที่สำคัญค่ะ และก็ทำง่ายมาก ๆ จริง ๆ เบญได้เขียนเคล็ดลับฝึกฟังภาษาอังกฤษไว้ให้แล้ว เข้าไปอ่านได้เลย
แต่จริง ๆ การฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษเอง ก็เป็นเรื่องง่าย ที่เราทำได้ในชีวิตประจำวันค่ะ และก็เป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้วด้วยแค่ต้องปรับเปลี่ยนนิดหน่อย เช่น
- ดูหนังเป็นภาษาอังกฤษ
เบญเชื่อว่าเราทุกคนก็ต้องดูหนังเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะบนเว็บดูหนังทั่วไป หรือเว็บที่เป็นที่นิยมกันอย่าง Netflix (เบญติด Netflix มาก 🤫)
บอกเลยว่า คุณเองก็เรียนภาษาอังกฤษผ่านการดูหนังได้นะ
ถ้าเพิ่งเริ่ม เบญแนะนำให้เป็นการ์ตูนหรือหนังเด็ก จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

แลให้เปิดหนังดูเป็นภาคภาษาอังกฤษ และเปิดซัพเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
เพราะบางครั้งเราฟังไม่ทัน แต่ถ้าได้อ่านไปด้วย เราจะจับประโยคภาษาอังกฤษได้ทันขึ้น
ถ้าอยากให้เบญแนะนำหนังฝรั่งที่สนุกและก็ฟังง่าย บอกได้เลยนะคะ 🙂
- ฟังเพลงภาษาอังกฤษ
แม้ว่าบางครั้ง เพลงจะเร็วบ้าง และเราร้องตามไม่ทัน และคุณก็คงรู้ว่า การฟังเพลง ทำให้เราได้คำ หรือประโยคภาษาอังกฤษมาเพิ่มจริง ๆ
ดูจากการที่ แม้แต่ว่าจะไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไหร่ แต่ฟังเพลงภาษาอังกฤษ ก็ร้องเพลงนั้นได้เฉยเลย
เพราฉะนั้น ถ้าคุณฟังเพลงบ่อย ๆ อยู่แล้ว ก็ใส่ลิสต์เพลงภาษาอังกฤษเข้าไปด้วยค่ะ จะช่วยให้หูของคุณจับประโยคภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
แต่ขอเตือนไว้ก่อนนะคะ ว่าอย่าเชื่อแกรมม่าจากในเพลงมาก เพราะส่วนใหญ่เค้าแต่งให้มันฟังดูดี แต่ไม่ได้สนใจเรื่องแกรมม่ามากขนาดนั้นค่ะ
- ฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษจากคอร์สออนไลน์
แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้มีเวลาทำทั้งหมดจากสิ่งที่เบญได้แนะนำไปข้างบนนั้น แต่เบญเชื่อว่าคุณมีเวลา 5-10 นาทีต่อวันที่จะฝึกฟังภาษาอังกฤษของคุณแน่นอนค่ะ
เบญมีคอร์สโปรดออนไลน์ที่เป็นตัวช่วยให้เบญฝึกฟังภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นบนมือถือ หรือว่าบนโน๊ตบุ้คค่ะ
Glossika เน้นไปที่บทสนทนาภาษาอังกฤษทั่วไป ที่เรียงหมวดหมู่มาให้เราเรียบร้อยแล้ว เรากดฟังวนไปเรื่อย ๆ ได้เลย
ไม่ว่าจะออกกำลังกาย หรือล้างจาน ก็ฝึกฟังภาษาอังกฤษได้ค่ะ

เบญได้รีวิวเรียนกับคอร์สนี้ไว้ให้อ่านเพิ่มเติมด้วย
ขอกระซิบว่า คอร์สนี้มีให้เลือกฟังทั้ง ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน และก็ภาษาอังกฤษแบบบริทิชเลยค่ะ
เข้าไปลงทะเบียนลองเรียนฟรี 7 วันด้วยตัวเองได้เลยนะ
2. เพิ่มความมั่นใจ และใช้ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา
อีกหนึ่งสิ่งที่เบญเจอเป็นประจำก่อนที่ตัวเองจะเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ หรือแม้แต่พูดภาษาอังกฤษได้แล้วก็ตาม
ก็คือ… ความตื่นเต้น ความประหม่า เวลาที่ได้คุยกับฝรั่งจริง ๆ
เบญไม่เชื่อหรอกค่ะว่าเบญเป็นแบบนี้คนเดียว และเชื่อว่าคุณเองก็ต้องเคยเจอกับความรู้สึกแบบนี้แน่นอน
แต่ว่าเบญมีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากกันค่ะ
สิ่งที่เราขาดไปก็คือความมั่นใจ และความเคยชิน หลายครั้งที่เราต้องทำอะไรบางอย่างที่เราไม่ชินกับมันเราจะมีความรู้สึกแบบนั้นตลอดค่ะ
1 ในหลายเคล็ดลับที่ช่วยให้เบญมีความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติ ก็คือการเรียน หรือฝึกพูด-ฟังกับครูเจ้าของภาษาค่ะ
และเบญบอกเลยว่า สมัยนี้นั้น มันง่ายมากเลยที่จะหาคอร์สฝึกพูดกับครูเจ้าของภาษาตัวต่อตัวออนไลน์ ไม่ต้องออกจากบ้าน หรือเสียเวลาเดินทางไปโรงเรียนเลย

คอร์สเรียนกับครูฝรั่งโปรดของเบญก็คือ iTalki
เบญเข้าไปลองเรียนด้วยตัวเองแล้ว ชอบมาก ๆ และราคาก็หลักร้อยต้น ๆ
การที่เราได้ฝึกพูด-ฟัง และได้เจอหน้า ลองตอบโต้จริง ๆ กับครูฝรั่ง จะทำให้เราไม่ตื่นเต้นมากเวลาที่ได้คุยกับฝรั่งจริง ๆ
แถมยังเพิ่มระดับความมั่นใจให้กับเรามากขึ้นอีกด้วย
เบญแนะนำให้ฝึกพูด-ฟังกับครูเจ้าของภาษา 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์ และทำเป็นประจำสม่ำเสมอ
อีกหนึ่งข้อดีกับการเรียนภาษาอังกฤษกับ iTalki ก็คือ หลังจากเราเรียนจบ คุณครูเค้าจะส่งรายงานเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้เรียนในวันนั้น
เช่น เราพูดประโยคอะไรผิดไปบ้าง และต้องแก้ยังไง แกรมม่าภาษาอังกฤษต่าง ๆ ทำให้เรารู้วิธีใช้คำนั้น ๆ มากขึ้นค่ะ

นั่นก็แปลว่า เราไม่ต้องไปนั่งท่องแกรมม่าด้วยตัวเองเลยค่ะ คุณครูจะช่วยให้เราเริ่มจำได้ในทุก ๆ ครั้งที่ใช้
เมื่อมีคนบอกเราว่าเราพูดผิดตรงไหน จะทำให้เราเรียนได้ไวขึ้น และจำได้ในการพูดครั้งต่อไป
เพราะฉะนั้น เข้าไปดูหน้าตาคอร์ส iTalki และก็เข้าไปดูหน้าตาครูมากกว่า 5,000 และเลือกคนที่คุณอยากจะฝึกภาษาอังกฤษด้วย
หรือจะเลือกจากลิสต์รวมครูฝรั่งที่เบญรวบรวมไว้ให้แล้วก็ประหยัดเวลาดี
3. ฝึกแต่งประโยค หรือแต่งเรื่องสั้นภาษาอังกฤษ
- แต่งประโยคใหม่จากบทสนทนาเดิม
จากบทสนทนาต่าง ๆ ที่คุณได้รวบรวมไว้จากข้อที่ 1
เบญอยากให้คุณลองเอาไอเดียพวกนั้น และลองมาแต่งประโยคภาษาอังกฤษใหม่ ๆ ด้วยตัวเองค่ะ
เช่น ถ้าเป็นประโยคที่บอกว่า Are you going to Robinsons? เราก็อาจจะเอามาแต่งใหม่เป็น Are you going to the park?
หรือ เปลี่ยนประธาน Is he going to school?
จะทำให้คุณได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม พร้อมกับแนวการแต่งประโยคภาษาอังกฤษอื่น ๆ จากบทสนทนาที่ได้ฝึกพูดบ่อย ๆ ค่ะ
- แต่งเรื่องสั้น หรือสรุปเรื่องสั้น
และอีกอย่างก็คือการฝึกแต่งเรื่องสั้นอย่างการเขียน Freewriting ที่จะเป็รนเรื่องของตัวเองหรือเรื่องที่แต่งขึ้นก็ได้
จะช่วยให้เราฝึกการเล่าเรื่อง หรือพูดถึงอะไรในบางอย่างในภาษาอังกฤษในยาวมากขึ้นกว่าแค่พูด 1 ประโยคสั้น ๆ
หรือคุณจะหาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่าน หลังจากอ่านเสร็จก็เขียนสรุปนิดหน่อย
ว่าเราเข้าใจอะไรจากเรื่องที่อ่านไปบ้าง ได้ข้อคิดอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรียงเป็นเรื่องสั้น ๆ ตามความเข้าใจของเราได้เลยค่ะ
แต่คุณอาจจะสงสัยว่า… และฉันจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่ฉันเขียนมันผิด หรือถูก?
ง่าย ๆ เลยค่ะ เบญมีตัวช่วยประจำคอมพิวเตอร์ และมือถือ ของเบญมาฝาก
เป็นโปรแกรมที่เบญใช้ประจำในเวลาที่ต้องพิมพ์ภาษาอังกฤษ เพราะว่าเค้าช่วยได้เยอะจริง ๆ
ก็คือ Grammarly ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก แม้ว่าจะเป็นเจ้าของภาษาเค้าก็ใช้โปรแกรมนี้เวลาที่ต้องพิมพ์เยอะ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่พิมพ์ผิดค่ะ

โปรแกรมนี้จะช่วยให้ภาษาอังกฤษที่เราเขียนนั้นโอเคขึ้น เช่น ตัวใหญ่ ตัวเล็ก สะกดคำผิด หรือว่าแกรมม่าภาษาอังกฤษเบื้องต้น และอื่น ๆ
แค่โหลดโปรแกรม Grammarly ฟรี ไว้ช่วยทำให้ประโยค หรือเรื่องสั้นภาษาอังกฤษของคุณโอเคขึ้น
หรือเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม การอัพเกรด หรือวิธีใช้ ที่เบญเขียนไว้ได้เลยจ้า
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับคุณนะคะ
หวังว่าจะช่วยให้คุณได้เริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษเลยตั้งแต่วันนี้ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องระดับแกรมม่าของตัวเอง
และค่อย ๆ ให้ความรู้เกี่ยวกับแกรมม่านั้น มาพร้อม ๆ ไปกับการพูดภาษาอังกฤษ และเชื่อว่าการพูดภาษาอังกฤษเก่งนั้น อยู่ใกล้ ๆ แค่เอื้อมนี้เองค่ะ!